วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

มุมมองการพัฒนาวิชาชีพกายภาพบำบัดแบบแนวคิด SaMMual's Model Concept : มุมมองของนักศึกษา



 กิจชนะ  แก้วแก่น
อดีตนายกสหพันธ์นิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดแห่งประเทศไทย (สนกท.) ปี 2553
ultranawin@gmail.com





ที่มาและความสำคัญของแนวคิด            


SaMMauL’s Model Concept เป็นแนวคิดของการพัฒนาวิชาชีพกายภาพบำบัดในมุมมองของนิสิตนักศึกษา ถูกพัฒนาขึ้นมาโดย นศก.กิจชนะ แก้วแก่น หลังจากที่ได้บริหารงานสหพันธ์นิสิตนักศึกษากายภาพบำบัด (สนกท.) มาครบ 1 ปี (วันที่ 24 เมษายน 2553 24 เมษายน 2554) แนวคิดดังกล่าวเกิดขึ้นจากประสบการณ์การบริหารงานที่ผ่านมาพบว่า ยังไม่มีความร่วมมือกันระหว่างกลุ่มนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดกับองค์กรของนักกายภาพบำบัด การดำเนินงานของกลุ่มนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดกับองค์กรของนักกายภาพบำบัดยังไม่ไปในทิศทางเดียวกัน มุมมองการพัฒนากิจกรรมเพื่อผลักดันการพัฒนาวิชาชีพภายใต้บทบาทของนิสิตนักศึกษายังมองไม่ค่อยถูกจุดที่เป็นปัญหาของวิชาชีพจริงๆ กิจกรรมใหม่ๆของกลุ่มนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดยังไม่ทราบกันอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้เนื่องมาจากกลุ่มนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดยังอ่อนประสบการณ์และไม่ทราบจุดยืนของตนเองในการพัฒนาวิชาชีพที่แท้จริง ที่สำคัญคือขาดเวทีประสานความร่วมมือระหว่างกลุ่มนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดกับองค์กรของนักกายภาพบำบัด ผลตามมาคือเกิดความเข้าใจไม่ตรงกันระหว่างกลุ่มนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดและองค์กรของนักกายภาพบำบัด ทำให้กิจกรรมของกลุ่มนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดยังไม่เป็นที่ยอมรับของอาจารย์กายภาพบำบัดหลายๆท่าน ทั้งๆที่กิจกรรมเหล่านี้เป็นกิจกรรมสำคัญที่ช่วยสร้างความรักและความภาคภูมิใจในวิชาชีพกายภาพบำบัดต่อไปในอนาคต เป็นเวทีที่ใช้สะท้อนความคิดเห็นและการแสดงออกทางความคิดของนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัด เป็นเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างรุ่นพี่นักกายภาพบำบัดกับรุ่นน้องนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัด เป็นเวทีที่ทำให้เกิดการรวมกลุ่มและร่วมมือกันเป็นฟันเฟืองเพื่อสร้างแรงขับดันในการขับเคลื่อนการพัฒนาวิชาชีพกายภาพบำบัดภายใต้บทบาทของนิสิตนักศึกษาอาศัยว่าไม้อ่อนดัดง่ายซึ่งเป็นการปลูกฝังให้เกิดการรวมตัวและสร้างเครือข่ายความร่วมมือของนักกายภาพบำบัดในอนาคต การรวมกลุ่มของนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดจึงเป็นเสมือนกระจกเงาของบุคลากรวิชาชีพกายภาพบำบัดคนรุ่นใหม่เพราะนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดก็คือนักกายภาพบำบัดในอนาคตนั่นเอง การพัฒนาวิชาชีพโดยพัฒนาบุคลกรตั้งแต่เป็นนิสิตนักศึกษานับได้ว่าเป็นการพัฒนาวิชาชีพแบบยั่งยืน

อธิบายแนวคิด
          สภา คือ สภากายภาพบำบัด ทำหน้าที่ควบคุม กำกับ ดูแล กำหนดมาตรฐานการให้บริการของผู้ประกอบวิชาชีพกายภาพบำบัด และควบคุมความประพฤติของผู้ประกอบวิชาชีพกายภาพบำบัดให้ถูกต้องตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพกายภาพบำบัด(1) สภากายภาพบำบัดจึงเปรียบเสมือนองค์กรที่ดูแลประชาชนให้ได้รับการบริการการรักษาทางกายภาพบำบัดให้ดีที่สุด
          สมาคม คือ สมาคมกายภาพบำบัดแห่งประเทศไทย (สกท.) ทำหน้าที่เป็นเกียรติและหลักประกันของวิชาชีพกายภาพบำบัด โดยการสร้างคุณภาพ และมาตรฐานแห่งวิชาชีพ ตลอดจนมาตรฐานทางการศึกษาทางกายภาพบำบัด(2) สมาคมกายภาพบำบัดแห่งประเทศไทยจึงเป็นองค์กรที่เป็นตัวแทนของนักกายภาพบำบัดในประเทศไทย
          สหพันธ์ คือ สหพันธ์นิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดแห่งประเทศไทย (สนกท.) ทำหน้าที่เป็นศูนย์ประสานงานระหว่างนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดจากสถาบันต่างๆและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างหมู่สมาชิก(3) สหพันธ์นิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดแห่งประเทศไทยจึงเป็นกลุ่มกิจกรรมที่เป็นตัวแทนของนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดในประเทศไทย
          จะเห็นว่ามี 2 ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับนักกายภาพบำบัด และ 1 ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัด การที่นิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดจะมีโอกาสแสดงพลังและความคิดได้เต็มที่นั้นก็ต้องแสดงผ่านเวทีของนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดนั่นเอง การสร้างเวทีของนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดขึ้นมาก็จะช่วยสะท้อนมุมมองเกี่ยวกับวิชาชีพของนิสิตนักศึกษา ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อองค์กรของนักกายภาพบำบัดในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับวิชาชีพให้กับนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัด
          การร่วมมือกันระหว่าง 3 ภาคส่วนนั้นย่อมจะทำให้เกิดการพัฒนาวิชาชีพได้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น โดยที่องค์ของนักกายภาพบำบัดสามารถนำประเด็นปัญหาวิชาชีพที่เกิดขึ้นมาให้กลุ่มนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดได้พัฒนาวิชาชีพภายใต้บทบาทของนิสิตนักศึกษาโดยอาศัยหลักการของ Problem-Based Learning ซึ่งเป็นการฝึกเรียนรู้กับปัญหาจริงที่เกิดขึ้นกับวิชาชีพ(4) กล่าวคือ หากมีปัญหาใดของวิชาชีพที่เป็นปัญหาสำคัญ องค์กรของนักกายภาพบำบัดก็จะทำหน้าที่แก้ไขในฐานะของนักกายภาพบำบัดและส่งโจทย์ของปัญหานั้นมาให้กลุ่มนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดได้ร่วมกันเรียนรู้และแก้ไขในฐานะของนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดโดยองค์กรของนักกายภาพบำบัดก็จะมีบทบาทเป็นพี่เลี้ยงของกลุ่มนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดเพื่อให้การแก้ไขปัญหานั้นดำเนินอยู่บนลู่ทางที่ถูกต้อง ทำให้เกิดการเรียนรู้ประสบการณ์และการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เกิดเป็นการแก้ไขปัญหาในระยะยาวเพราะเมื่อนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดเรียนจบและประกอบอาชีพเป็นนักกายภาพบำบัด พวกเขาเหล่านั้นก็จะเป็นแรงหนุนสำคัญช่วยแก้ไขปัญหาวิชาชีพโดยมีประสบการณ์ที่รุ่นพี่ส่งมอบให้เป็นทุนเดิม
          การนำหลักการ Problem-Based Learning มาใช้ในการเรียนรู้ปัญหาของวิชาชีพนั้นมีการศึกษาเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ในหลายๆวิชาชีพ(5) เช่น สัตวแพทย์ พยาบาล กิจกรรมบำบัด รวมถึงวิชาชีพกายภาพบำบัดด้วย ซึ่งจากการศึกษาของ Helen Saarinen-Rahiika และ Jill M Binkley(6)  ในปี 1998 ได้ศึกษาการใช้หลักการ Problem-Based Learning มาผสมผสานในหลักสูตรการเรียนการสอนกายภาพบำบัดในมหาวิทยาลัย McMaster University พบว่านิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดที่เรียนในหลักสูตรที่มีการใช้หลักการ Problem-Based Learning มีความแตกต่างที่ดีขึ้นในเรื่องของพฤติกรรมและผลการเรียนจากนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดที่เรียนในหลักสูตรเดิม จึงได้แนะนำให้นำหลักการ Problem-Based Learning มาใช้ในการจัดการเรียนของสอนของนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัด จะเห็นว่าหลักการ  Problem-Based Learning มีประโยชน์ต่อการเรียนรู้ในวิชาชีพของนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดแต่การจัดการเรียนรู้ดังกล่าวอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย สำหรับแนวคิด SaMMual’s Model Concept เป็นการประยุกต์หลักการดังกล่าวเป็นพื้นฐานของแนวคิดในการพัฒนาวิชาชีพอย่างยั่งยืนโดยวิธีการดังกล่าวที่กล่าวมา

ตัวอย่างวิชาชีพที่มีการพัฒนาวิชาชีพโดยเกิดความร่วมมือระหว่างองค์กรวิชาชีพกับกลุ่มกิจกรรมนิสิตนักศึกษา
วิชาชีพที่เป็นแบบอย่างของการพัฒนาวิชาชีพโดยเกิดความร่วมมือระหว่างองค์กรวิชาชีพและกลุ่มนิสิตนักศึกษาคือ วิชาชีพเภสัชกรรม ที่มีความร่วมมือระหว่างเครือข่ายเภสัชศาสตร์เพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ(คภ.สสส.) ซึ่งเป็นเครือข่ายของเภสัชกรร่วมกับสหพันธ์นิสิตนักศึกษาเภสัชศาสตร์แห่งประเทศไทย(สนภท.)(7) ในการดำเนินงานแก้ไขปัญหาของวิชาชีพโดยนำมาจากปัญหา ประสบการณ์ เพื่อพัฒนาสู่ความสำเร็จจากการอาศัยพลังนิสิตนักศึกษากับการขับเคลื่อนกระบวนการสร้างเสริมสุขภาพ เป้าหมายหลักในการดำเนินงานคือการสร้างเภสัชกรรุ่นใหม่ที่มีความรู้คู่คุณธรรม รู้เท่าทันกระแสโลกาภิวัตน์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของสังคมในการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล การดำเนินงานนั้นเริ่มมาจากการที่เครือข่ายเภสัชศาสตร์เพื่อการส่งเสริมสุขภาพ(คภ.สสส.) ผลักดันแนวคิดการสร้างเสริมสุขภาพสู่การจัดการเรียนการสอน พร้อมสนับสนุนให้นิสิตนักศึกษาได้ทำกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่ใช้แนวคิดของการสร้างเสริมสุขภาพ โดยมองว่านิสิตนักศึกษาเป็นสิ่งชี้วัดความสำเร็จในการดำเนินงานอย่างแท้จริงเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ของแผนงาน ตัวอย่างกิจกรรมที่ได้ทำ เช่น         
-กิจกรรมค่ายหมอยาเรียนรู้ชุมชน วัตถุประสงค์คือ พัฒนาทักษะในการทำงานร่วมกับชุมชนและพัฒนาความรู้ที่นิสิตนักศึกษาเภสัชศาสตร์ควรมี เพื่อเป็นพื้นฐานในการให้บริการด้านสาธารณสุข เปิดโลกทัศน์ด้านวัฒนธรรมชุมชน ผลลัพธ์ที่ได้คือ ทำให้เกิดความสัมพันธ์อันดีกับชุมชน รู้และรับทราบปัญหาทางสุขภาพ รวมทั้งการใช้ยาของชาวบ้านในชุมชน ส่งเสริมให้เกิดความรู้รักสามัคคีในหมู่คณะ อีกทั้งยังเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของแต่ละมหาวิทยาลัย ก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีและเกิดความมุ่งมั่นที่จะนำวิชาชีพเภสัชกรรมออกสู่ชุมชนต่อไป                                                   
-กิจกรรมห้าหมอร่วมกันทำงานในชุมชน เป็นการจัดกิจกรรมร่วมกันระหว่างนิสิตนักศึกษาเภสัชศาสตร์ แพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ พยาบาลศาสตร์ และสาธารณสุขศาสตร์ ในการตรวจและให้คำแนะนำด้านสุขภาพกับคนในชุมชนตามหน้าที่ที่แบ่งกันรับผิดชอบ ผลลัพธ์ที่ได้คือ สร้างความตระหนักและความสำคัญในปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้น ซึ่งนิสิตนักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์มีส่วนร่วมในการเผยแพร่ความรู้และสร้างแนวคิดให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการสร้างเสริมสุขภาพ อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมความร่วมมือระหว่างสหวิชาชีพในการทำงานร่วมกันที่มีประสิทธิภาพ
-กิจกรรมเภสัชรุ่นใหม่ไม่เอา TABINFO วัตถุประสงค์คือ เพื่อคัดค้านในการจัดงาน FABINFO ASIA 2009 ผลลัพธ์ที่ได้คือ มีผู้ลงรายชื่อ 91,420 คน คัดค้านการจัดงานครั้งนี้ ข้อเรียกร้องของบุคลากรสาธารณสุขที่ร่วมลงรายชื่อคัดค้านที่ส่งถึงนายกรัฐมนตรี ทำให้เกิดข้อสรุปว่ารัฐบาลไม่สนับสนุนการจัดงานนี้ ผู้เข้าร่วมงานที่คาดการณ์ไว้ว่าจะมีประมาณสามถึงสี่พันคน เหลือประมาณสามถึงสี่ร้อยคน   
การเกิดความร่วมมือระหว่างองค์กรวิชาชีพและกลุ่มกิจกรรมของนิสิตนักศึกษาเภสัชศาสตร์ทำให้เกิดการแสดงพลังทางความคิดและการแสดงออกเชิงสร้างสรรค์ในการร่วมพัฒนาวิชาชีพภายใต้บทบาทของนิสิตนักศึกษา ก่อให้เกิดงานที่เป็นรูปธรรมโดยตีโจทย์มาจากปัญหาจริงของวิชาชีพ จากตัวอย่างของสหพันธ์นิสิตนักศึกษาเภสัชศาสตร์แห่งประเทศไทย(สนภท.) ที่ได้มีการถ่ายทอดประสบการณ์และบทเรียนทั้ง 3 กิจกรรมดังกล่าว แสดงเห็นว่าพลังของนิสิตนักศึกษาคนรุ่นใหม่ยังคงใส่ใจต่อสังคมส่วนรวมยังมีจิตอาสาอยู่เต็มเปี่ยมขึ้นอยู่กับว่าผู้ใหญ่และผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายจะจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เด็กได้อย่างไร

บทสรุปการพัฒนาวิชาชีพกายภาพบำบัดตามแนวคิด SaMMuaL’s Model Concept
          การพัฒนาวิชาชีพกายภาพบำบัดจะเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แบบและยั่งยืนได้นั้นต้องก้าวพัฒนาไปข้างหน้าพร้อมกันโดยอาศัยบุคลากรใน 3 ภาคส่วน คือ สภากายภาพบำบัด สมาคมกายภาพบำบัดแห่งประเทศไทย และสหพันธ์นิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดแห่งประเทศไทย ในการดำเนินการพัฒนาวิชาชีพแบบร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างบูรณาการบนพื้นฐานหลักการ Problem-Based Learning อาศัยว่าองค์กรของนักกายภาพบำบัดเป็นพี่มาช่วยแบ่งปันประสบการณ์ปัญหาวิชาชีพให้กับน้องๆกลุ่มนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดได้เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาร่วมกันและแสดงออกถึงพลังนิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดที่เตรียมพร้อมจะเป็นนักกายภาพบำบัดคนรุ่นใหม่ที่ดีในอนาคต
          อย่างไรก็ตาม SaMMuaL’s Model Concept เป็นแนวคิดและมุมมองหนึ่งของการพัฒนาวิชาชีพกายภาพบำบัดซึ่งอาจมองต่างจากบุคคลากรหลายท่านในวิชาชีพ ทำให้ถูกมองว่าเดินบนถนนคนละเส้นทาง ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าจะคิดแบบไหน เหมือนหรือต่าง แต่ท้ายสุดแล้วเป้าหมายของการเดินทางก็เป็นเป้าหมายเดียวกันคือการพัฒนาวิชาชีพกายภาพบำบัดของพวกเราทุกคนนั่นเอง




เอกสารอ้างอิง
          1.พระราชบัญญัติวิชาชีพกายภาพบำบัด พ.ศ. 2547
          2.ข้อบังคับของสมาคมกายภาพบำบัดแห่งประเทศไทย (ฉบับแก้ไขใหม่) พ.ศ. 2551
          3.ระเบียบสหพันธ์นิสิตนักศึกษากายภาพบำบัดแห่งประเทศไทย  พ.ศ. 2553
          4.Joanna C. Dunlap. Problem-Based Learning and self-efficacy: How a capstone course prepares students for a profession. ET&D. 2005; 53: 65-85.
          5.Samy A. Azer. Problem-based learning, Challenges, barriers and outcome issues. Saudi Med J. 2001; 22: 389-397.
          6.Helen Saarinen-Rahiika, Jill M Binkley. Problem-Based learning in Physical Therapy: A review of the literature and overview of the McMaster university experience. Phys Ther. 1998; 78: 195-207.

          7.ทีมงานติดตามและประเมินภายใน เครือข่ายเภสัชศาสตร์ เพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ (คภ.สสส.) ร่วมกับสหพันธ์นิสิตนักศึกษาเภสัชศาสตร์แห่งประเทศไทย (สนภท.). หนังสือเล่มเล็กชุดผลงานเด่นของแผนงานเครือข่ายเภสัชศาสตร์เพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ(คภ.สสส.) ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2550-2553). [serial online]. Available from:URL:http://info.thaihealth.or.th/library/hot/13134




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น